วันนี้ขอนำเสนอข้อสรุปบางส่วนจากบทความเรื่อง O-NET และ PISA บอกอะไรกับเรา
ของ สฤณี อาชานันทกุล อ้างอิงมาจากเว็บไซท์ ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง
ซึ่งเขียนไว้เมื่อเืดือนกรกฎาคม 2554 (ดูรายละเอียดฉบับเต็มได้ตามลิงค์)
โดยผลการสอบวัดความรู้จาก โครงการประเมินผลนักเรียนนานาชาติ (PISA) ขององค์กรความร่วมมือและพัฒนาเศรษฐกิจ( OECD) ซึ่งวัด “ความรู้เรื่อง” (literacy) ในวิชาที่จัดว่าเป็นหัวใจของการเรียนรู้ตลอดชีวิตสามวิชา ได้แก่ การอ่าน คณิตศาสตร์ และวิทยาศาสตร์ ของนักเรียนอายุ 15 ปี ทั่วประเทศ ในปี พ.ศ. 2552 พบว่าร้อยละ 42.8 มีทักษะในการอ่านอยู่เพียงระดับ 1 และต่ำกว่า (ระดับนี้คือแค่อ่านออก จับใจความไม่เป็น)
ร้อยละ 37 มีการอ่านถึงระดับสอง (จับใจความได้ก็ต่อเมื่อเนื้อหาที่อ่านค่อนข้างตรงไปตรงมาเท่านั้น)
รอยละ 0.3 สามารถเข้าใจข้อเขียนที่ซับซ้อน วิเคราะห์และประเมินเนื้อหาเป็น สร้างสมมติฐานจากสิ่งที่อ่านและดึงเอาความรู้สาระในนั้นมาสร้างเป็นแนวคิดของตนได้
(ตามกราฟด้านล่าง หรือดูรายละเอียดได้จากเว็บไซต์ http://stats.oecd.org/PISA2009Profiles/)
สำหรับผลการประเมินนักเรียนในประเทศ จากข้อมูลของ สถาบันทดสอบทางการศึกษาแห่งชาติ (สทศ.)
ในการสอบ O-NET ซึ่งวัดผลการเรียนของนักเรียนระดับ ป.6 ม.3 และ ม.6 ใน 8 กลุ่มสาระ ได้แก่ ภาษาไทย, คณิตศาสตร์, วิทยาศาสตร์ สังคมศึกษา ศาสนา และวัฒนธรรม, สุขศึกษาและพลศึกษา, ศิลปะ, การงานอาชีพและเทคโนโลยี และภาษาต่างประเทศ พบว่า
จากคะแนนเต็ม 800 นักเรียนไทยได้คะแนนเฉลี่ยเพียง 200 กว่าๆ เท่านั้น นักเรียนในกรุงเทพฯ ซึ่งได้คะแนนสูงสุด ทำคะแนนเฉลี่ยได้เพียง 376.74 (ป.6), 309.87 (ม.3) และ 330.01 (ม.6) ตามลำดับ
ซึ่งมีบทสรุปเป็นประเด็นดังนี้
- คะแนนเฉลี่ยของนักเรียนชั้น ป.6 สูงกว่านักเรียนชั้นมัธยมอย่างมีนัยสำคัญ สะท้อนว่าเด็กไทยยิ่งเรียนยิ่งอ่อน ไม่ได้เก่งขึ้นตามที่ควรจะเก่งในแต่ละช่วงอายุแต่อย่างใด
- จำนวนครูและนักเรียนต่อห้องไม่มีผลต่อคะแนน O-NET อย่างมีนัยสำคัญ
- คะแนนแต่ละวิชาค่อนข้างสัมพันธ์กัน เด็กที่เก่งหรืออ่อนคณิตศาสตร์ก็มักจะเก่งหรืออ่อนวิทยาศาสตร์ สังคม ภาษาไทย ศิลปะ ฯลฯ ด้วย
- ยกเว้นภาษาอังกฤษซึ่งมีค่าสหสัมพันธ์ต่ำกว่ากลุ่มสาระอื่นอย่างเห็นได้ชัดสำหรับชั้น ป.6 และ ม.3 สะท้อนข้อเท็จจริงที่ว่าเด็กไทยโดยรวมค่อนข้างอ่อนภาษาอังกฤษ
- เด็กที่เก่งคณิตศาสตร์ วิทยาศาสตร์ สังคม และภาษาไทย จำนวนมากไม่เก่งภาษาอังกฤษในระดับเดียวกับที่เก่งสี่วิชานี้
จากผลการประเมิน PISA และ O-NET ตอกย้ำถึงความตกต่ำของการศึกษาไทย
ตามความเห็นของผู้เขียน บ่งชี้ว่า วิกฤติการศึกษาไทยไม่อาจแก้ไขด้วยการทุ่มเงินงบประมาณไปกับ “ฮาร์ดแวร์” อาทิ อาคารเรียน คอมพิวเตอร์ หรือแท็บเล็ต เพียงอย่างเดียว แต่ที่สำคัญกว่านั้นมากคือการลงทุนใน “ซอฟต์แวร์” อาทิ ครูผู้สอน หลักสูตร และกระบวนการเรียนการสอน
ตัวชี้วัด “ความสำเร็จ” ที่แท้จริงของโรงเรียนไทยน่าจะเป็นตัวเลขที่บ่งชี้ว่าโรงเรียนนั้นสามารถให้การสนับสนุนเด็กด้อยโอกาส และช่วยเหลือเด็กที่เรียนอ่อนให้เรียนดีขึ้นได้แค่ไหนอย่างไร น่าจะดีกว่าเน้นถึงศักยภาพ ความสามารถของนักเรียนที่เก่งที่สุดของโรงเรียน